หลังจากราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกาปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าในบางพื้นที่จะเริ่มลดลงแล้วตามข้อมูลของสำนักงานข้อมูลพลังงาน (EIA) กล่าวเช่นนั้น แม้ว่าราคาน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินในคลังจะลดลงในสัปดาห์นี้

ขอบคุณภาพประกอบจาก CAR AND DRIVER
The Wall Street Journal รายงานว่า Brent-crude Futures ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานสากลสำหรับราคาปิโตรเลียม ร่วงลง 13 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งลดลงมากที่สุดในวันเดียวนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2020 ทั้งนี้ ราคาน้ำมันและก๊าซในปัจจุบันอาจผันผวนจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้
– ราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกายังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก
เมื่อกล่าวถึงต้นทุนที่หน้าปั๊มในสหรัฐอเมริกา Patrick De Haan แห่งเว็บไซต์ติดตามราคา GasBuddy กล่าวเมื่อเช้าวันพุธว่า มีข่าวดีเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ดิ่งลงมาระหว่าง 6 ถึง 12 เซนต์ต่อแกลลอนแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่
จากแผนที่ของ GasBuddy ที่แสดงรายงานราคาน้ำมันตามปัจจุบันจากสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ แสดงถึงราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในพื้นที่ส่วนใหญ่ชองสหรัฐอเมริกา ราคาสูงสุดของแผนที่มากกว่า 4.43 ดอลลาร์ต่อแกลลอน โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก, รัฐ Illinois และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ขอบคุณภาพประกอบจาก CAR AND DRIVER
บน Twitter ผู้คนโพสต์ภาพหน้าจอของแอพ GasBuddy ซึ่งจะเปิดหน้าต่างโดยอัตโนมัติเพื่อยืนยันราคาน้ำมันที่สูง โดยผู้คนเข้ามาโพสต์ถามและให้ความเห็นในเชิงที่ว่าราคาที่แสดงสูงเกินไป
ราคาเฉลี่ยของน้ำมันในสหรัฐอเมริกา เพิ่งแตะ 4.17 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือ เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับราคาน้ำมันที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา สถิติก่อนหน้านี้อยู่ที่ 4.10 ดอลลาร์ย้อนกลับไปในปี 2008 แต่เมื่อปรับค่าเงินเฟ้อแล้ว ที่จริงแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 5.37 ดอลลาร์ในค่าเงินปัจจุบัน
GasBuddy รายงานว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ถูกที่สุดในสหรัฐอเมริกา คือเมือง Fort Smith รัฐ Arkansas โดยอยู่ที่ 3.71 ดอลลาร์ และรัฐที่ถูกที่สุดคือ Kansas โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.82 ดอลลาร์ต่อแกลลอน
ราคาน้ำมันที่สูงขนาดนี้อาจทำให้เกิดคำถามใหญ่สองข้อ ประการแรก ถ้าราคาเริ่มไต่ระดับแล้ว จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม ประการที่สอง หากราคายังคงไต่ระดับต่อไป แอป GasBuddy คาดการณ์ว่าในช่วงสุดสัปดาห์ว่าเราอาจเห็นค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 4.25 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งจะทำให้ผู้คนเปลี่ยนรูปแบบการซื้อเป็นยานพาหนะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่

ขอบคุณภาพประกอบจาก YAHOO NEWS
– ยอดขายรถยนต์ Hybrid และ Plug-in ดูเหมือนจะขึ้นลงตามราคาน้ำมัน
ตามรายงานของ EIA มีความเป็นไปได้มากกว่า ตั้งแต่ปี 1999 การขายรถยนต์ Hybrid และรถยนต์ Plug-in ขายได้มากขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมเป็นพิเศษในช่วงสามหรือสี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้น
เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นและผู้คนตอบสนองทันทีด้วยการซื้อรถยนต์ Hybrid มากขึ้นพร้อมประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ดีขึ้น แต่น่าเสียดายที่คุณจะได้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามเช่นกัน เมื่อราคาน้ำมันลดลงในช่วงเวลานั้นยอดขายรถยนต์ Hybrid ก็ตกลงด้วย ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเลยเพราะการซื้อรถยนต์ใหม่ที่ไม่มีประสิทธิภาพนั้นทำให้ต้องใช้งานมันเป็นเวลานานมาก นานกว่าราคาน้ำมันที่ลดลง
เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่จะคอยดูว่าเราจะฝ่าฝืนจุดเปลี่ยนทางจิตวิทยาได้หรือไม่ หากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปถึง 5 ดอลลาร์หรือมากกว่า นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและหากยังคงดำเนินต่อไปก็จะส่งผลกระทบต่อการซื้อรถยนต์แน่นอน
คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงราคาน้ำมัน 5 หรือ 6 ดอลลาร์ต่อแกลลอนได้ คำถามคือนั่นแปลว่ายอดการขายรถยนต์ EV จะสูงทันทีหรือไม่ เนื่องจากยอดขายเป็นตัวบ่งชี้ความสนใจที่ตามมานี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีรถยนต์ EV ที่อยู่คงคลังต่ำและมีผู้รอซื้อจำนวนมาก
เราไม่รู้ว่าสัปดาห์นี้มีคนเพิ่มชื่อของพวกเขาลงในรายการรอรถยนต์ EV ใหม่กี่คน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือวันนี้ผู้คนจะไม่สามารถเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้ทันที แต่ถ้ามันเป็นไปได้ว่าผู้คนจะได้รถที่พวกเขาต้องการในตอนนี้เลย เราน่าจะเห็นยอดขายรถยนต์ EV พุ่งขึ้นถึง 5 เท่า
#F1rumors #Car #Bigbike #Motorsport #รถยนต์EV #ราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกา