ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าภายในปี 2025 แต่รัฐบาลและผู้ผลิตรถยนต์ต้องทำงานหนักขึ้นอย่างมากเพื่อกำจัดการปล่อยมลพิษจากการขนส่งทางถนน

ขอบคุณภาพประกอบจาก CHOBROD
นักวิเคราะห์มองว่ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องราวความสำเร็จที่น่าทึ่ง พวกเขาคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแบบ Plug-in จะสูงถึง 20.6 ล้านคันในปี 2025 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 14 ล้านคันเมื่อปีก่อน เนื่องจากมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในจีน
ในความจริงคงต้องใช้เวลาอีกนานในการเปลี่ยนรถบนถนนเกือบ 1.2 พันล้านคันที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หากไม่มีการออกกฎหรือข้อบังคับใหม่ รถยนต์ทั่วโลกเพียงสองในสามเท่านั้นที่จะปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2050 คาดว่ายานพาหนะเชิงพาณิชย์ที่หนักกว่าจะมีเพียง 29 เปอร์เซ็นต์ของรถเหล่านี้ที่จะปลอดคาร์บอนภายในปี 2050
– การใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและความเข้มงวดจะทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน
จากการวิจัยนักวิเคราะห์ที่นำโดย Colin McKerracher “แม้จะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ความพยายามที่จะทำให้การขนส่งทางถนนเกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ยังไม่ก้าวหน้านัก ผู้กำหนดนโยบายจะต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของยานพาหนะที่มีน้ำหนักมาก ซึ่งรถที่ใช้เชื้อเพลิงและแบตเตอรี่จะแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาด เส้นทางของการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ยังคงอยู่ห่างไกล”

ขอบคุณภาพประกอบจาก ELECTROMO
หากจำนวนและขนาดรถโดยสารที่ใช้เชื้อเพลิงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เพียง 11% สำหรับปี 2050 โลกจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสม 2.25 จิกะตัน และทำให้ห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่ตึงเครียดน้อยลง
ยอดขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วโลกพุ่งสูงสุดในปี 2017 และกำลังลดลงเรื่อย ๆเนื่องจากลูกค้าสนใจรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในปี 2024 กองยานพาหนะที่ใช้ระบบสันดาปทั่วโลกจะเริ่มลดลง และภายในปี 2025 การส่งมอบรถเหล่านี้จะลดลงประมาณ 19% จากจุดสูงสุด
ในทางกลับกันรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทกำลังมาแทนที่การใช้น้ำมัน 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และคาดว่าจะแทนที่ได้ 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2025 บางแห่งคาดการณ์ว่าอุปสงค์ของน้ำมันเบนซินจะพุ่งสูงสุดในปี 2026 เช่นเดียวกับยอดน้ำมันโดยรวมจะขึ้นสูงสุดตามความต้องการใช้การขนส่งทางถนนในปี 2027
– รถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น
การรุกคืบของยานพาหนะไฟฟ้าได้หยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของปริมาณการปล่อยก๊าซในการขนส่งตั้งแต่ในปีแรกของการแพร่ระบาดในปี 2020 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดของการจ่ายไฟฟ้าให้กับกองยานพาหนะ เปอร์เซ็นต์ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 2 ปีหลังจากอุปสงค์น้ำมันขึ้นสู่จุดสูงสุด

ขอบคุณภาพประกอบจาก IDTECEX
การคาดการณ์ว่าการคมนาคมขนส่งจะพัฒนาไปอย่างไร หากภาคส่วนนี้ถูกปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดและแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, จีน และสหราชอาณาจักรจะยุติการขายรถยนต์สันดาปภายในปี 2038 สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่นจะตามมา ขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อินเดีย และประเทศอื่นๆ ในโลกจะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
จากการศึกษานี้ องค์กรที่เกี่ยวข้องควรปฏิบัติตามกฎระเบียบหลายประการ เพื่อก้าวไปข้างหน้าสู่เส้นทางการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ องค์กรที่เกี่ยวข้องควรกำหนดวันที่ยุติการขายรถสันดาปใหม่ภายในปี 2035 ในทุกกลุ่ม มาตรฐานการประหยัดเชื้อเพลิงและการรีไซเคิลแบตเตอรี่ควรมีความรัดกุม และผู้กำหนดนโยบายควรพิจารณาอุดหนุนเงินเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเครือข่ายการชาร์จไฟฟ้า
“หากไม่มีกฎระเบียบใหม่ในประเทศเหล่านั้น วิถีคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์สำหรับการขนส่งทางถนนทั่วโลกจะไม่สามารถไปถึงได้ง่ายนัก คุณภาพอากาศในเขตเมืองมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดในเมืองที่ร่ำรวยและช่องว่างนี้จะกว้างขึ้นอีก” นักวิเคราะห์สรุป
นักวิเคราะห์ไม่เชื่อว่าต้นทุนแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นอุปสรรคต่อการนำ EV มาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ “เงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้ต้นทุนแบตเตอรี่ของวัตถุดิบสูงขึ้น เช่น สงคราม, เงินเฟ้อ, แรงเสียดทานทางเศรษฐกิจ ต่างก็ผลักดันราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลให้สูงขึ้นไปพร้อม ๆ กัน”
#รถออกใหม่ #รถพลังงานไฟฟ้า #รถEV #รถบิ๊กไบค์ #Trip&Trick #ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า